วันอังคารที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

รูปภาพ



จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

สมถะ เป็นภาษาบาลี แปลว่า สงบ ในคัมภีร์มีใช้ใน 3 แบบ ดังนี้ :
  1. จิตตสมถะ - ความสงบระงับจากอกุศลนิวรณ์แห่งจิต ดู : สมถกรรมฐาน.
  2. อธิกรณสมถะ - วิธีการสงบระงับอธิกรณ์การทะเลาะมีเรื่องมีราวกันในหมู่สงฆ์ มี 7 อย่าง เรียก สัตตาธิกรณสมถะ.
  3. สัพพสังขารสมถะ ความสงบระงับสังขารทั้งปวง หมายถึง พระนิพพาน[1]

สมถะกรรมฐาน



ถามคำถามหรือออกความเห็นได้ที่ไหน

โปรดเลือกที่ที่เหมาะสมที่สุดในการถามคำถามของคุณ เพราะคำถามที่ถามผิดที่อาจถูกละเลยได้ อาสาสมัครที่เต็มใจจะตอบคำถามของคุณโดยเร็วที่สุด

คำถามข้อเท็จจริง

  • ปุจฉา-วิสัชนา เป็นเสมือนแผนกบริการตอบคำถามของห้องสมุด (reference desk) ที่คุณสามารถถามคำถามได้ทุกเรื่อง ยกเว้นที่เกี่ยวข้องกับวิกิพีเดีย ผู้เขียนจะพยายามตอบคำถามของคุณ หรือแนะนำแหล่งสารสนเทศที่คุณต้องการ
เช่น "ประเทศอะไรมีกองเรือประมงใหญ่ที่สุดในโลก"
ปุจฉา-วิสัชนาแบ่งออกเป็นหลายสาขาวิชา ดังนี้
สังคมศาสตร์และประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ภาษา
หากคุณไม่แน่ใจว่าจะถามในหน้าใดแน่ชัด ใช้ จิปาถะ

ความเห็นต่อบทความหนึ่ง ๆ

  • แต่ละบทความมีหน้าอภิปรายเพื่อถามคำถามหรือออกความเห็นที่สร้างสรรค์เกี่ยวกับเนื้อหา เมื่อคุณกำลังดูบทความ เพียงคลิกแถบ อภิปราย ที่อยู่บนสุดของหน้า อย่างไรก็ดี พึงระลึกว่าวิกิพีเดียมิใช่ฟอรัมสำหรับอภิปรายเกี่ยวกับหัวเรื่องของบทความ ความเห็นควรถูกจำกัดเฉพาะต่อเนื้อหาของบทความ

กสิณ ๑๐




ธรรม

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ธรรม หมายถีง สภาพที่ทรงไว้, ธรรมดา, ธรรมชาติ, สภาวธรรม, สัจจธรรม, ความจริง; เหตุ, ต้นเหตุ; สิ่ง, ปรากฏการณ์, ธรรมารมณ์, สิ่งที่ใจคิด; คุณธรรม,ความดี, ความถูกต้อง, ความประพฤติชอบ; หลักการ, แบบแผน, ธรรมเนียม, หน้าที่; ความชอบ, ความยุติธรรม; พระธรรม, ท่านพุทธทาสภิกขุ ให้คำนิยามไว้ในหนังสือของท่านว่า ธรรม มีความหมายที่ยิ่งใหญ่ ไม่สามารถหาคำพูดที่เป็นภาษาของมนุษย์มานิยามได้ แต่ขอนิยามให้เข้าใจพอสังเขปไว้ด้วยความว่า หน้าที่ เพราะไม่มีสิ่งใดในสากลโลกที่ไม่มีหน้าที่

พระธรรมในพุทธศาสนา[แก้]

ศาสนาพุทธเรียกธรรมว่าพระธรรม คือหลักความเป็นไปของโลก เน้นความจริงที่เกิดขึ้นกับโลก การเกิด ดับ ไม่มุ่งเน้นความสบาย พระพุทธศาสนาสอนให้มุ่งเน้นในส่วนที่โลกกำลังดำเนินอยู่ เกี่ยวพัน เกี่ ในพระไตรปิฎกของพุทธศาสนาจะพบคำว่า ธรรมและวินัย ควบกันไปเช่นพระพุทธเจ้า ตรัสไว้ว่า [1]
อานนท์  ! ธรรมวินัยใดอันเราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่เธอทั้งหลาย ธรรมและวินัยนั้นจักเป็นศาสดาของเธอทั้งหลายโดยกาลล่วงไปแห่งเรา
  1. หน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ
  2. การได้รับผลตามกฎของธรรมชาติ
คำว่า ธรรม พระราชวรมุนี (ประยุทธ์ ปยุตโต) กล่าวไว้ว่า คือ “สภาพที่ทรงไว้, ธรรมดา, ธรรมชาติ สภาวะธรรม, สัจธรรม, ความจริง, เหดุ, ต้นเหตุ, สิ่ง, ปรากฏการณ์ ฯลฯ

อ้างอิง[แก้]

  1. กระโดดขึ้น พระไตรปิฎก วินัยปิฎก มหาวิภังค์ เล่ม 1 ภาค 1 หน้าที่ 25

ไม่มีชื่อ





   ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้า ประทับอยู่วัดเวฬุวัน เมืองราชคฤห์ ปรารภการยกย่องอสัตบุรุษของพระเจ้าอชาตศัตรู ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธกว่า...
   ในกาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดเป็นอาจารย์ทิศาปาโมกข์ มีลูกศิษย์ประมาณ ๕๐๐ คน ในนั้นมีมานพคนหนึ่งชื่อ สัญชีวะ ได้เรียนมนต์ทำคนตายให้ฟื้นคืนมาได้แต่ไม่ได้เรียนมนต์สำหรับป้องกัน
   วันหนึ่ง เขาเข้าไปหาฟืนกับเพื่อน เห็นเสือตายตัวหนึ่งนอนตายอยู่ ก็พูดกับเพื่อนๆ ว่า
     " เราจะทำเสือตายตัวนี้ ให้ฟื้นคืนมา พวกท่านจะเชื่อเราหรือไม่ " พวกเพื่อนๆไม่เชื่อและท้าว่า " ถ้าท่านมีความสามารถ ก็จงปลุกให้มันตื่นขึ้นมาเถิด " แล้วก็ต่างรีบปีนขึ้นต้นไม้ไป
   ส่วนนายสัญชีวะ ร่ายมนต์แล้วขว้างเสือตายด้วยก้อนหิน ทันใดนั้นเอง เสือได้ลุกขึ้น กระโดดกัดที่ก้านคอของเขา ทำให้เขาเสียชีวิตล้มลงตรงนั้นเอง ทั้งคนและสัตว์นอนตายในที่เดียวกัน พวกมานพขนฟืนไปแล้ว บอกเรื่องนั้นแก่อาจารย์ อาจารย์จึงกล่าวคาถาว่า
     " ผู้ใดยกย่องและคบหาคนชั่ว
       คนชั่วย่อมกระทำผู้นั้นแหละ ให้เป็นเหยื่อ
       เหมือนเสือโคร่งที่สัญชีวมานพทำให้ฟื้นขึ้น แล้วทำเขานั้นแล ให้เป็นเหยื่อ "




สวนสวรรค์

บทที่ ๑๑ สวรรค์ กามาวจรสวรรค์

สัคคกถา  กล่าวถึงสวรรค์ที่อุดมด้วยทิพยสมบัติ
ความหมายของสวรรค์ในทางพระพุทธศาสนานั้น  เป็นที่มีเทวดาผู้หญิงและเทวดาผู้ชาย  มีการบริโภคกามคุณเหมือนกับโลกของเราทั่วไป  แต่ลักษณะการบริโภคนั้นเป็นทิพย์ทั้งหมด  ซึ่งมีด้วยกัน ๖ ชั้น ดังนี้
สวรรค์ชั้นที่ ๑ ชื่อจาตุมมหาราช  เป็นสวรรค์ชั้นต่ำสุด  แต่สูงกว่าพวกสัมพเวสีหรือเทวดาเดินหน  เทวดาอยู่บนต้นไม้  อยู่บนดิน  เทวดายอดหญ้า  อายุของเทวดาชั้นนี้จะยืนยาว ๕๐๐ ปีสวรรค์  เทียบกับมนุษย์ได้ ๙ ล้านปีของเรา  หรือ ๕๐  ปีของมนุษย์เท่ากับหนึ่งวันหนึ่งคืนของเทวาดาชั้นนี้
สวรรค์ชั้นนี้แบ่งออกเป็น ๔ ทิศ  แต่ละทิศประกอบด้วยกำแพงทองคำล้อมรอบพระนครและยังประดับไปด้วยแก้ว ๗ ประการ  และแก้วมณีอันล้ำค่า  ในแต่ละพระนครยังมีสระโบกขรณี  ซึ่งมีดอกบัวนานาชนิด  ทิศเหนือมีมหาราชชื่อ ท้าวเวสสุวรรณ เป็นผู้ปกครองเหล่าอสูร  ยักษ์มาร  และปราบภูตผีปีศาจ  ทิศตะวันออกมีมหาราชชื่อ  ท้าวธตรฐมหาราช  ปกครองเหล่าคนธรรพ์ซึ่งมีความสามารถในการดีดพิณและเชี่ยวชาญในการร้องรำ  ทิศใต้มีท้าววิรุฬหก  ปกครองเหล่ากุมภัณฑ์  อนันตยักษ์  ทิศตะวันตกมีท้าววิรูปักษ์  ปกครองเหล่านาคทั้งหลาย
สวรรค์ชั้นที่  ๒  ดาวดึงส์  เป็นพระนครกว้างใหญ่ไพศาล  บริบูรณ์ไปด้วยทิพย์สมบัติ  และงดงามยิ่งนัก  มีอุทยานใหญ่อยู่ทั้ง ๔ ทิศ  คือ  อุทยานนันทวัน  อุทยานจิตลดาวัน  อุทยานสักกะวัน  อุทยานผรุสกวัน  เทพนครดาวดึงส์นี้มีขอบเขตข้างละหมื่นโยชน์ มีประตูหนึ่งพันประตู  ประดับด้วยสวนและสระอันน่าภิรมย์ยิ่งนัก  ในเทพนครแห่งนี้มีปราสาทราชฐานหลังหนึ่งชื่อว่า  เวชยันต์ปราสาท  ประดิษฐานอยู่อันสำเร็จด้วยแก้ว ๗ ประการมีความสูงถึง ๗๐๐ โยชน์  ประดับประดาด้วยธงต่างๆ  ด้ามเสาธงเป็นทอง  ตัวธงเป็นแก้วมณี  ส่วนเสาธงที่เป็นแก้วมณีตัวธงก็เป็นทอง  เสาธงแก้วประพาฬ  ธงแก้วมุก  เสาแก้ว ๗ ประการ  ปราสาทนี้เกิดขึ้นเพราะผลบุญที่ได้สร้างศาลาเอาไว้ และผลบุญที่ได้ปลูกต้นทองหลางไว้ใกล้ศาลาจึงเกิดเป็นต้นปาริชาติ  ส่วนการจัดสถานที่ให้คนนั่งใต้ร่มไม้ทองหลางทำให้เกิดบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์สูง ๖๐ โยชน์ กว้าง ๕๐ โยชน์  หนา ๑๕ โยชน์  เป็นที่ประทับของพระอินทร์  เวลาชาวโลกมีความเดือดร้อนก็จะบันดาลให้บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์เกิดแข็งกระด้างขึ้นมายามพระอินทร์ประทับนั่งที่แท่นนี้  จะมีความร้อนดังไฟบอกเหตุร้ายให้พระอินทร์ได้รับรู้ พระอินทร์ผู้เป็นใหญ่ปกครองเทพนครแห่งนี้
ต้นปาริชาติในหนึ่งร้อยปีจะออกดอกครั้งหนึ่ง  มีความหอมตลบอบอวลไปทั่วทั้งสวรรค์  กลิ่นของดอกปาริชาติเมื่อลมพัดพาไปถูกต้องกายเทพบุตรเทพธิดาองค์ใด  ก็จะบันดาลให้องค์นั้นระลึกชาติได้อย่างอัศจรรย์ยิ่งนัก
พระอินทร์นั้นมีถึง ๗ ชื่อด้วยกัน ๑. มัฆวาน  ๒. ปุรินทร์  ๓. สักกะ  ๔. วาสวะ  ๕. สหัสเนตร  ๖. สุชัมบดี  ๗. เทวานมินทร์ พระอินทร์มีมเหสี ๔ องค์ คือ นางสุธรรมา นางสุนันทา นางสุจิตราและนางสุชาดา
สมเด็จพระอินทราธิราชสร้างวัตร ๗ ประการจึงได้มาเสวยสุขอยู่บนดาวดึงส์สวรรค์ชั้นนี้  วัตร ๗ ประการมีดังนี้
๑. มาตาเปติภโร  การเลี้ยงดูบิดามารดาอยู่ตลอดชีวิต
๒. กุเลเชษฐาปจายี  การเคารพนอบน้อมผู้ใหญ่ในตระกูลอยู่ตลอดชีวิต
๓. สัณหวาโจ  การกล่าววาจาอ่อนหวานตลอดชีวิต
๔. อัปสุณาวาโจ  การไม่กล่าววาจาส่อเสียดยุยงผู้อื่นอยู่ตลอดชีวิต
๕. มัจเฉรวินโย  การกำจัดความตระหนี่ให้ออกไปจากจิตใจแล้วจำแนกแจกทานอยู่ตลอดชีวิต
๖. สัจจวาโจ  มีวาจาสัตย์อยู่ตลอดชีวิต
๗. อโกธโน  ความไม่มีความโกรธอยู่ตลอดชีวิต
              ทิศตะวันออกเฉียงใต้  มีเทวสถาน  เป็นเจดีย์ใหญ่  สร้างด้วยแก้วอินทนิลตั้งแต่กลางองค์พระเจดีย์ขึ้นไปถึงยอดพระเจดีย์  สร้างด้วยทองคำบริสุทธิ์  และประดับด้วยแก้ว ๗ ประการพราวแพรวระยิบระยับ  ล้อมรอบกำแพงด้วยทองคำล้วน  เหลืองอร่ามไปทั่วบริเวณนั้น  เทวสถานนั้นมีชื่อว่า  พระจุฬามณีเจดีย์  เป็นที่บรรจุพระเกศโมลี  ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ทุกๆพระองค์  ที่ทรงตัดออกในขณะที่เสด็จออกบรรพชา  นอกจากนั้นยังมีพระบรมธาตุเขี้ยวแก้วเบื้องขวาของพระพุทธเจ้า  ซึ่งได้มาจาก  โทณพราหมณ์  เป็นผู้แบ่งพระบรมธาตุหลังจากที่พระพุทธเจ้าได้ทรงพระปรินิพพานไปแล้ว
เทวดาทั้งหลายทุกชั้นฟ้าและผู้ที่อาศัยอยู่โดยรอบขอบจักรวาล  ต่างก็นำดอกไม้ของหอมมากระทำการทักขิณาวัฏ  เวียนเทียนอยู่มิได้ขาด
ไม่ไกลจากแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์  มีศาลาใหญ่ชื่อ  สุธรรมาเทวสถาน  มีดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมยิ่งกว่าดอกปาริชาติชื่อว่า  อสาพดี  หนึ่งพันปีจะออกดอกสักครั้งหนึ่งและในเทวสถานนี้  จะเป็นที่ประชุมกันของเหล่าเทพ  เทวดา  นางฟ้า  เพื่อมาฟังธรรมกัน
สวรรค์ชั้นนี้มีเรื่องราวเกี่ยวกับมนุษย์มาก  ก่อนที่พระอินทร์จะได้ปกครองสวรรค์ชั้นนี้  ก็ได้ต่อสู้กับพวกที่อยู่มาก่อน  คือ  พวกเนวาสิก  ท้ายที่สุดฝ่ายพวกเนวาสิก  ก็ถูกโยนลงมาจากสวรรค์  เพราะไปดื่มน้ำคันธบานจนเมามาย  แม้จะกลับขึ้นไปอีกก็ยากเสียแล้ว  จึงสาบานตนว่าจะเลิกดื่มโดยเด็ดขาด  ตั้งแต่บัดนั้นมาพวกเนวาสิกจึงได้ชื่อใหม่ว่า  อสูร  หรือ  อสุรา  แปลว่า  ไม่ดื่มสุรา
ในสวรรค์ชั้นนี้ยังมีเทพบุตรเอราวัณ  ซึ่งเนรมิตกาย  ให้เป็นช้างใหญ่  มี ๓๓ เศียร  สำหรับพระอินทร์ทรงประทับตรงกลาง  ๑ เศียร และอีก ๓๒ เศียร  เป็นที่ประทับของสหายทั้ง ๓๒ องค์  ซึ่งในสมัยที่เป็นมนุษย์พระอินทร์กับเพื่อน ๓๒ คน  และ ช้าง ๑ เชือก  ได้ช่วยกันทำสาธารณะกุศลมากมาย  เมื่อสิ้นอายุขัยแล้วจึงได้บังเกิดบนสวรรค์ชั้นนี้   อายุของเทพชั้นนี้เท่ากับ  ๑๐๐๐ ปีทิพย์   ๑๐๐ ปีของมนุษย์เท่ากับหนึ่งวันหนึ่งคืนของเทวดาชั้นนี้

สวรรค์ชั้นที่ ๓  ชื่อว่า ยามา  มีปราสาททองคำ  วิมานทองคำ  วิมานแก้ว  ล้วนแต่วิจิตรงดงามเป็นอย่างมาก  มีท้าวสยามเทวาธิราช  ปกครองอยู่  หรือที่เรารู้จักกันดีในนามของ  พระสยามเทวาธิราชนั่นเอง  ผู้ที่ไปเกิดในสวรรค์ชั้นนี้จะต้องเป็นผู้มีบุญอย่างยิ่ง  มีจิตใจบริสุทธิ์  หมั่นทำทานรักษาศีล  เจริญภาวนา  มีจิตมั่นคงในพระรัตนตรัย  ในสวรรค์ชั้นนี้ไม่ปรากฏแสงพระอาทิตย์หรือแสงพระจันทร์  เพราะว่าเป็นภูมิที่ตั้งอยู่สูงเหนือพระอาทิตย์และพระจันทร์มากมาย  แต่เทวดาทั้งหลายสสามารเห็นกันได้ด้วยความสว่างแห่งรัศมีที่ออกมาจากกายของเทวดาเหล่านั้น  เทวดาทั้งหลายรู้ว่าเป็นกลางวันหรือกลางคืนจากดอกไม้ทิพย์ที่บานในตอนเช้าและหุบในตอนกลางคืน  อายุของเทพชั้นนี้นานถึง ๒ พันปีทิพย์  เวลา ๒๐๐ ปีของมนุษย์เท่ากับหนุ่งวันหนึ่งคืนของเทวดาชั้นนี้
สวรรค์ชั้นที่ ๔  ชื่อว่า  ดุสิต  มีท้าวสันดุสิตเทวาธิราชปกครองอยู่  ดุสิตาภูมินี้มีวิมาน ๓ ชนิด คือ  รัตนวิมาน ๑   สุวรรณวิมาน ๑   รชตวิมาน ๑   วิมานเหล่านี้ตั้งเรียงรายอยู่เป็นระเบียบสวยงามวิจิตรตระการตายิ่งนัก   มีรัตนปราการล้อมรอบ  ทุกวิมานมีรัศมีรุ่งเรืองสวยงามยิ่งกว่าชั้นยามาภูมิ  ผู้มาบังเกิดในสวรรค์ชั้นนี้จะมีจิตใจยินดีต่อการฟังธรรมในทุกวันธรรมสวนะ  สวรรค์ชั้นนี้เป็นที่อุบัติของโพธิสัตว์ในชาติสุดท้ายก่อนที่จะมาเป็นพระพุทธเจ้าในโลกมนุษย์  ในวันพระเหล่าเทพทั้งหลายจะมาประชุมกันเพื่อฟังธรรม  โดยมีผู้เป็นพหูสูตอย่างท้าวสันดุสิตเทวาธิราชเป็นผู้แสดงธรรม  เนื่องจากท่านได้ฟังธรรมเทศนามาจากพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์  บางครั้งก็เชิญพระศรีอาริยะมาแสดงธรรมเช่นกัน  เพราะว่า  พระศรีอริยะจะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป  นอกจากนี้แล้ว  สวรรค์ชั้นนี้ยังมีปราสาทและวิมานที่สำคัญของเทพธิดาที่เรารู้จักกันดี  นามว่า  เทพธิดาสิริมหามายา  ซึ่งเคยเป็นพระราชมารดาขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้ารวมอยู่ด้วย  เทวดาชั้นนี้เสวยทิพย์สมบัตินาน ๔ พันปีทิพย์เทียบกับโลกมนุษย์  ห้าพันเจ็ดโกฏิกับหกสิบแสนปี  เวลา ๔๐๐ ปีของมนุษย์เท่ากับหนึ่งวันหนึ่งคืนของเทวดาชั้นนี้
สวรรค์ชั้นที่ ๕  ชื่อ  นิมมานรดี  มีท้าวนิมมิตเทวาธิราชเจ้าปกครอง  ผู้ที่มาเกิดในสวรรค์ชั้นนี้  ล้วนแต่มีจิตบริสุทธิ์มั่นอยู่ในศีล  ทาน  วิริยะ  อุตสาหะ  ประพฤติตนมั่นคงในพระรัตนตรัย  รูปร่างสวยงามกว่าสวรรค์ชั้นอื่นๆ ที่ผ่านมา  มีรัศมีกายรุ่งเรืองสว่างออกจากลำตัว  ปรารถนาสิ่งใดก็สามารถเนรมิตได้ดังใจหวัง   แม้ปรารถนาจะเสวยสุขทางกามคุณใดย่อมเนรมิตคู่ครองได้ตามใจต้องการ  เทพชั้นนี้มีอายุขัย ๘ พันปีทิพย์  นางวิสาขาก็อยู่สวรรค์ชั้นนี้  เวลา ๘๐๐ ปีของมนุษย์เท่ากับหนึ่งวันหนึ่งคืนของเทวดาชั้นนี้
สวรรค์ชั้นที่ ๖  ชื่อว่า  ปรนิมมิตสวัตตี  มีการปกครองออกเป็น ๒ ฝ่าย  ไม่ปะปนกัน
ฝ่ายเทพ  มีท้าวปรนิมิตเทวราชปกครอง
ฝ่ายมาร   มีท้าวปรนิมิตสวัตตีมาราธิราชปกครอง
สวรรค์ชั้นนี้มีอายุยืนนาน ๑๖๐๐  ปีทิพย์  หรือ ๙๒๑ โกฏิ  ๖ ล้านปีมนุษย์  เวลา ๑๖๐๐ ปีของมนุษย์เท่ากับหนึ่งวันหนึ่งคืนของเทวดาชั้นนี้  เทวดาชั้นนี้เมื่อต้องการที่จะเสวยกามคุณใดๆ  เทวดาอื่นรู้แล้วก็จะเนรมิตโดยไม่ต้องบอกกล่าว
เหตุที่ต้องแบ่งสวรรค์ชั้นนี้เป็น ๒ ฝ่าย
ด้วยองค์มาราธิราชนี้  คือ  พระโพธิสัตว์ที่ได้บำเพ็ญบารมีเพื่อหวังจะได้เป็นพระพุทธเจ้ามาเป็นเวลานานแล้ว  หลายภพหลายชาติ  ซึ่งเรื่องทั้งหลายได้บังเกิดขึ้นในสมัยพระพุทธเจ้านามว่า  พระกัสสะปะ  ได้อุบัติขึ้นในโลก  และพระโพธิสัตว์ในสมัยนั้นได้เป็นมหาอำมาตย์  ชื่อโพธิอำมาตย์  เป็นอัครเสนาบดีของพระเจ้ากิงกิสสะมหาราช  ซึ่งเนื้อความของโพธิอำมาตย์มีกล่าวไว้แล้วในเรื่องของทานข้างต้น
เมื่อโพธิอำมาตย์ถูกประหารชีวิตแล้วได้ไปบังเกิดอยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิตชั่วระยะเวลาหนึ่ง  ก็จุติลงมาในโลกมนุษย์  เวียนว่ายตายเกิดอยู่อย่างนี้  หลายชาติกระทั่งในชาติที่เป็นพญามารในชั้นที่ ๖ นี้  เนื่องจากอำนาจบุญและกรรมที่ได้ทำไว้มีก้ำกึ่งกันด้วยจิตริษยาที่พระโคดมได้เสด็จมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าก่อน  ทั้งๆที่ตนได้บำเพ็ญตนสร้างบารมีมาก่อนมากมาย  เฝ้าติดตามรบกวนด้วยอาการต่างๆ  แต่มิได้เป็นบาปหนัก  เพราะไม่ได้ล่วงเกินแต่ประการใด
จนกระทั่งพระพุทธศาสนาล่วงมาได้  ๒๑๘ ปี  พระเจ้าอโศกมหาราชกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งชมพูทวีป  มีศรัทธาต้องการสร้างพระสถูปเจดีย์แปดหมื่นสี่พันองค์  พร้อมกับให้ทำการสังคายนาพระไตรปิฎกด้วยในเวลานั้น
ในงานนี้กลัวพญามาราธิราชผู้มีฤทธิ์มากและยังมีจิตริษยาอยู่จะต้องมาขัดขวางมิยอมให้ศาสนาของพระพุทธโคดมมีความเจริญรุ่งเรืองต่อไป
พระสงฆ์ทั้งหลายประชุมกันแล้ว  จำเป็นต้องนิมนต์พระอุปคุตมาปราบตามพุทธทำนาย  ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงทราบด้วยทิพยจักษุว่า  พระอุปคุตจะยังพระศาสนาให้เจริญรุ่งเรือง  และเพื่อประกาศเกียรติคุณแก่พระอุปคุตให้ชนทั้งหลายได้ศรัทธา  ฉะนั้นในสมัยของพระพุทธเจ้าจึงมิได้ทำการใดๆแก่พญามาร
ครั้นแล้วก็ให้พระภิกษุสงฆ์ผู้มีฤทธิ์สององค์เหาะไปยังที่อยู่ของพระอุปคุตแล้วแหวกสมุทรลงไป  เพื่อนิมนต์พระเถระขึ้นไปป้องกันพญามาราธิราช
ในระหว่างงานฉลองพระสถูปเจดีย์นั้น  พญามารได้เหาะลงมาจากสวรรค์ชั้น ๖บันดาลให้เกิดเป็นพายุใหญ่พัดมาเพื่อจะดับเทียนชัยและดวงประทีปที่จุดบูชาหน้าพิธี  พระอุปคุตคอยทีอยู่แล้ว  จึงบันดาลให้พายุนั้นหายไปหมดสิ้น
พญามารโกรธจัด  แปลงร่างเป็นวัวกระทิงใหญ่พุ่งเข้าใส่ทันที  พระเถระจึงรีบแปลงเป็นเสือโคร่งตะปบวัวกระทิงจนพ่ายแพ้  ครั้นแล้วกระทิงใหญ่ตัวนั้นก็กลายร่างเป็นพญานาคเจ็ดเศียร  พ่นไฟใส่เสือโคร่งเพื่อหมายเอาชีวิตให้ได้  เสือโคร่งนั้นก็กลายเป็นพญาครุฑไล่จิกตี  จับกระชากแทบจะขาดใจ  ฝ่ายพญานาคนั้นก็กลายเป็นยักษ์ใหญ่ถือตะบองไล่ตีอย่างดุร้าย  ครุฑก็กลายเป็นยักษ์ใหญ่ขึ้นอีกสองเท่า  ถือตะบองสองอันไล่ตียักษ์เล็กอย่างว่องไว  ยักษ์เล็กถึงกับความพ่ายแพ้ยับเยิน
พระเถระก็กลับเป็นร่างเดิม  แล้วเนรมิตหมาเน่าผูกด้วยประคดเอวของท่านโยนไปคล้องคอพญามารพอดี  และประกาศว่า  ห้ามอินทร์พรหมยมเทพ  เอาหมาเน่าออกเป็นอันขาด
พญามารถูกหมาเน่าคล้องคอส่งกลิ่นเหม็น  เกิดอาการคลื่นไส้  อาเจียนรับความทรมานอย่างมาก  ไม่มีปัญญาจะดึงซากหมาเน่าให้หลุดออกไปได้  เพราะในขณะที่จับไปถูกสายประคดนั้นก็จะมีไฟลุกไหม้มือด้วยความร้อนเป็นที่สุด ซึ่งทำอย่างไรก็แก้ไม่ออกสักที  ถึงแม้พญามารจะเหาะขึ้นไปหาพระอินทร์  พระพรหม  และเทพผู้มีฤทธิ์ทั้งหลายขอให้ช่วยแก้ให้ แต่ ก็ต้องผิดหวัง  จนมีพระพรหมองค์หนึ่ง  แนะนำให้พญามารไปขอโทษสารภาพผิดกับพระเถรเสียจะดีกว่า  เพื่อท่านจะได้แก้ให้ด้วยมือของท่านเอง
เมื่อพญามารหมดหนทางแล้ว  จำต้องปฏิบัติตามโดยดี  จึงเหาะไปหาพระเถระ  เพื่อสารภาพความผิดและขอร้องให้ช่วยแก้หมาเน่าออก
พระเถระก็ไม่ว่าอะไร  และบอกว่าจะแก้ให้  แล้วก็ลุกออกจากที่เรียกให้พญามารตามมาด้วย  พอพระอุปคุตพาพญามารมาถึงภูเขาลูกหนึ่ง  จึงดึงซากหมาเน่าออกจากคอของพญามาร  แล้วโยนทิ้งเหวไป  และยังเนรมิตให้สายประคดนั้นยาวออกไปอีกและมัดตัวพญามารไว้กับภูเขาลูกนั้น  และกำชับว่า  จงอยู่ที่นี่ไปก่อน  จนกว่างานของพระเจ้าธรรมาอโศกจะผ่านพ้นไป  ซึ่งใช้เวลา ๗ ปี ๗ เดือนกับอีก ๗ วัน
ส่วนการสังคายนาพระไตรปิฎกนั้นใช้เวลาอยู่ ๙ เดือนจึงสำเร็จ
พญามารรู้สึกเจ็บแค้นและผูกพยาบาทต่อพระเถระเป็นอย่างมาก  ครั้นงานฉลองพระเจดีย์เสร็จสิ้นลง  พระเถระก็กลับไปที่ภูเขาลูกนั้นอีก  แต่ยังมิได้เข้าไปในขณะนั้น  เพียงแต่แอบดูอยู่ว่าพญามารจะละพยศหรือยัง
พญามารเมื่อถูกกักขังไว้อย่างนั้นต้องยืนตากแดดตากฝน  ทนทุกข์ทรมานอย่างยิ่ง  มีความเศร้าโศกเสียใจและน้อยใจตัวเอง  ที่อยู่บนวิมานเสวยสุขอยู่อย่างนั้นก็ดีแล้ว  แต่กลับมาลำบากเพราะความริษยาแท้ๆ
ได้แต่รำพึงขึ้นมาว่า  เมื่อครั้งที่พุทธโคดมได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า  เราได้กลั่นแกล้งต่างๆนานา  พระพุทธองค์ท่านก็มิได้โกรธเราแม้แต่น้อย  ครั้นบัดนี้พระสาวกของพระองค์กลับมาทำร้ายเราให้ได้รับความทุกข์ทรมานแสนสาหัส
ในที่สุดก็หวนระลึกถึงความปรารถนาของตนที่เคยตั้งใจเอาไว้  แทบพระบาทของพระกัสสปะพุทธเจ้า  เมื่อครั้งที่เกิดเป็นโพธิอำมาตย์เสนาบดี  จึงสำนึกถึงบาปที่ตนได้กระทำลงไป
ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป  เราจะขอเลิกมีจิตริษยาทั้งปวง  และมุ่งมั่นที่จะประกอบคุณงามความดี  มีความเมตตา  กรุณาปราณีเป็นที่ตั้งและมีศรัทธาแรงกล้า  เพื่อจะสำเร็จโพธิญาณเป็นสัมมาสัมพุทธเจ้า  เพื่อโปรดสัตว์ทั้งหลายในอนาคตข้างหน้า
เมื่อกล่าวดังนั้นแล้ว  พระอุปคุตจึงออกมาจากที่ซ่อน  เดินตรงเข้ามาหาพญามารพร้อมกับกล่าวว่า
เราขออโหสิกรรมจากท่านด้วยเถิด  เพราะความจำเป็นจึงต้องกระทำกับท่านเช่นนั้น  แต่ก็เป็นประโยชน์อย่างมหาศาลทีเดียว  ที่ทำให้ท่านได้ระลึกถึงพระพุทธภูมิได้  ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป  ท่านก็จะได้เป็นปูชนียบุคคลแห่งพระบรมโพธิสัตว์  ที่ชาวโลกทั้งหลายให้การกราบไหว้บูชาอย่างแท้จริง 
และแล้วพระเถระก็แก้สายประคดออก  ให้พญามารได้รับอิสรภาพ  และยังขอร้องให้พญามาร  เนรมิตกายให้เหมือนพระพุทธองค์  เพื่อจะได้ชมพระบารมี  เป็นพุทธนิมิตและพุทธานุสสติแก่ชนทั้งหลาย
พญามารก็ไม่ขัดข้อง  แต่ขอร้องว่า  เมื่อเห็นแล้วก็อย่าเผลอกราบไหว้อย่างเด็ดขาด  เพราะบาปนั้นจะตกกับเราผู้เดียว  พระเถระเข้าใจความหมายดี  พร้อมทั้งให้คำมั่นสัญญา
พญามารจึงเนรมิตกาย  เป็นองค์สัมมาสัมพุทธเจ้า  ด้วยมหาปุริสลักษณะ  พร้อมฉัพพรรณรังสีอันวิจิตร  มีครบทั้งพระอัครสาวก   ทั้งซ้ายและขวาพร้อมบริบูรณ์  เสด็จด้วยพระพุทธลีลาอย่างสง่างาม
พระอุปคุตและเหล่าพุทธบริษัททั้งหลาย  พากันตะลึงในความงดงามปิติยินดีเป็นยิ่งนัก  ทำให้เคลิบเคลิ้มเผลอไผลถึงกับลืมตัว  ต่างฝ่ายต่างก็ยกมือขึ้นไหว้โดยพร้อมเพรียงกัน  พญามารตกใจในทันใดนั้นต้องรีบกลับกลายเป็นร่างเดิมทันทีแล้วกล่าวว่าท่านไม่มีสัจจะ  ทำไมจึงลืมสัญญาเสียได้  จะทำให้เราบาปรู้บ้างไหม
พระอุปคุตว่า  พวกเรามิได้ไหว้ท่านหรอกอย่าได้ตำหนิเราเลย  เพียงแต่เราสักการบูชาพระพุทธเจ้าและพระสาวกต่างหาก  และก็จะทำให้ท่านได้อานิสงส์เป็นอย่างยิ่ง  ที่ท่านได้ทำเป็นกุศลให้กับพวกเรา
แล้วพระอุปคุตเถระก็กล่าวแสดงธรรมให้กับพญามารได้รับฟัง  จนเป็นที่พอใจ  แล้วพญามารก็เหาะขึ้นไปเสวยสุขในสวรรค์ชั้นที่ ๖  เหมือนอย่างเดิม
นับแต่นั้นเป็นต้นมา  พญามาราธิราชก็มีจิตใจละเอียดอ่อนเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง  ได้บำเพ็ญบารมี  เพื่อมุ่งหมายพุทธภูมิต่อไป
ถ้ามีใครบอกว่า  ผู้นั้นผู้นี้สามารถพบเห็นพระพุทธเจ้าได้  มีการสนทนาธรรม  มีการถวายภัตตาหารและปัจจัยต่างๆได้  ท่านจะเชื่อหรือไม่  เพราะแม้แต่พระอุปคุตผู้มีฤทธิ์มากเป็นพระอรหันต์ขีณาสพยังทำไม่ได้เลย
เมื่อกล่าวถึงสวรรค์มาพอสมควรแล้วคงจะต้องกล่าวถึงนรกเอาไว้บ้าง  เพื่อเตือนใจสำหรับผู้กระทำผิดศีล  ทำอกุศลต่างๆ
นรกก็อย่างที่ชาวพุทธทั้งหลายเข้าใจกันดี  หรือเคยเห็นตามภาพในโบสถ์  วิหาร  และที่อื่นๆ เช่นเดียวกับที่เห็นภาพสวรรค์ที่มีเทพชุมนุมกันตามหน้าต่างประตูโบสถ์และสถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนา
นรกแบ่งออกเป็น ๘ ขุมใหญ่ด้วยกัน  แต่ละขุมจะมีสภาพแตกต่างกันออกไป  สำหรับลงโทษผู้กระทำผิดแล้วแต่บาปกรรมที่ทำเอาไว้  และยังมีนรกบริวารเป็นเปรตอสูรกายและสัตว์เดรัจฉานต่อไป  ยังมีนรกเล็ก ๔ ขุม นรกเล็กชั้นนอก ๑๐ ขุม รวมทั้งหมด ๔๕๖ ขุม

วันจันทร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเพื่อนิพพาน


นิพพานที่ชาวพุทธพูดถึงแต่ยังไปไม่ถึงเพราะอะไร บล็อกนี้แนะนำหลักการขั้นต้นทั้งความรู้ที่ควรรู้และวิธีปฏิบัติในการปิดประตูนรกปิดอบายภูมิ ๔ พ้นจากปุถุชนเข้าสู่อริยะบุคคล เป็นเชื้อสายแห่งพระอริยะ (ปุญญาภิสันทสูตร ๔-๔๘๔ )นิพพาน แดนนิพพาน อยู่ที่ไหน มีจริงหรือไม่แล้วจะไปยังไง อ่านบทความทั้งหมดจบแล้วก็จะได้คำตอบ

วันศุกร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

บทที่ ๗ ศีลข้อกาเมสุมิฉาจาร(ตอนที่ ๒)



เพิ่มคำอธิบายภาพ
ทรงพาพระนันทะไปชมนางฟ้า พระนันทะใคร่จะได้เป็นชายา ทรงรับรองจะให้สมหวัง ผู้วาดภาพประกอบ : กฤษณะ สุริยกานต์

ความจริงยังมีรายละเอียดปลีกย่อยอีกเขียนเอาไว้ในเรื่องของกามโดยพิสดาร  แต่แล้วก็เปลี่ยนใจนำมาลงด้วยกัน  โดยต่อท้ายตรงนี้ซึ่งเนื้อเรื่องอาจจะซ้ำกันบ้าง  ก็ไม่เป็นไรเหมือนการตอกย้ำให้มีความเข้าใจยิ่งขึ้น
          กาเมสุมิจฉาจาร   เว้นจากการประพฤติผิดในกามทั้งหลาย  คำว่า  กามทั้งหลายได้แก่  กริยาที่รักใคร่กันในทางประเวณี  การเสพเมถุน
          การผิดในกาม  หมายถึง  การเสพเมถุนกับคนที่ต้องห้ามมีดังนี้
          สำหรับชาย  หญิงต้องห้ามสำหรับชายมี    ประเภท คือ
๑.  สัสสามิกา  หญิงมีสามีที่เรียกว่า  ภรรยาท่านได้แก่หญิง    จำพวก คือ
ก.   หญิงที่แต่งงานกับชายแล้ว
ข.   หญิงที่ไม่ได้แต่งงานแต่อยู่กับชายอย่างเปิดเผย
ค.   หญิงที่รับสิ่งของมีทรัพย์เป็นต้นของชายแล้วยอมอยู่กับเขา
ง.    หญิงที่ชายเลี้ยงเป็นภรรยา
๒. ญาติรักขิตา  หญิงที่ญาติรักษา คือ ผู้ปกครอง  ไม่เป็นอิสระแก่ตน เรียกว่า  หญิงอยู่ในพิทักษ์รักษาของท่าน คือ  หญิงที่มารดาบิดารักษาหรือญาติรักษา
๓.  ธรรมรักษา  หรือจาริตา  หญิงที่จารีตรักษาที่เรียกว่า  จารีตห้ามได้แก่  หญิงที่เป็นเทือกเถาเหล่ากอ
ก.   เทือกเถา  คือญาติผู้ใหญ่  นับย้อนขึ้นไป ๓ ชั้นมี ย่า ทวด ยายทวด ๑  ย่ายาย ๑ แม่ ๑  เหล่ากอ คือผู้ที่สืบสายจากตนลงไป ๓ ชั้น มีลูก ๑  หลาน ๑  เหลน ๑
ข.   หญิงที่อยู่ในพระบัญญัติในพระศาสนาอันห้ามสังวาสกับชาย เช่น ภิกษุณีในกาลก่อน หรือแม่ชีในสมัยนี้
ค.   หญิงที่บ้านเมืองห้าม  เช่น  แม่หม้ายงานท่าน  อันมีในกฎหมาย
               หญิง    จำพวกนี้  จะมีฉันทะร่วมกันหรือไม่ร่วมกันไม่เป็นประมาณ  ชายร่วมสังวาสด้วยก็เป็น  กาเมสุมิจฉาจาร
            หญิงที่เป็นวัตถุต้องห้ามของชาย โดยพิสดารมี  ๒๐  จำพวก
  ๑. มาตุรักขิตา  หญิงที่มารดารักษา
  ๒. ปิตุรักขิตา  หญิงที่บิดารักษา
  ๓. มาตาปิตุรักขิตา  หญิงที่มารดาบิดารักษา
  ๔. หญิงที่พี่ชายน้องชายรักษา
  ๕. ญิงที่พี่สาวน้องสาวรักษา
  ๖. หญิงที่ญาติรักษา
  ๗. หญิงที่โคตรหรือแซ่รักษา
  ๘. หญิงมีธรรมรักษา
  ๙. หญิงมีสามีรักษา
๑๐. หญิงมีสินไหม คือ พระราชาทรงรักษา
๑๑. หญิงที่ชายไถ่หรือซื้อมาด้วยทรัพย์เพื่อเป็นภรรยา
๑๒. หญิงที่อยู่กับชายด้วยความรักใคร่ชอบใจกันเอง
๑๓. หญิงที่อยู่เป็นภรรยาชายด้วยโภคทรัพย์
๑๔. หญิงที่เข็ญใจ  ได้สักว่าผ้านุ่งห่ม  ผ้าห่มแล้วอยู่เป็นภรรยา
      ๑๕. หญิงที่ชายขอเป็นภรรยา  มีผู้ใหญ่จัดการให้
      ๑๖. หญิงที่ชายปลงภาระอันหนักให้แล้วยอมเป็นภรรยา
      ๑๗. หญิงที่เป็นทาสีอยู่ก่อน  แล้วชายเอาเป็นภรรยา
      ๑๘. หญิงที่รับจ้างแล้ว ชายเอาเป็นภรรยา
      ๑๙. หญิงที่ชายรบข้าศึกได้เป็นเชลยแล้วเอาเป็นภรรยา
      ๒๐. หญิงที่ชายอยู่ด้วยขณะหนึ่งและหญิงนั้นก็เข้าใจว่าชายนั้นเป็นสามีของตน
                สำหรับหญิง   ชายต้องห้ามสำหรับหญิงมี    ประเภท  คือ
๑.   ชายอื่นนอกจากสามี  เป็นวัตถุต้องห้ามสำหรับหญิงที่มีสามีแล้ว
๒. ชายที่จารีตห้าม  เป็นวัตถุต้องห้ามสำหรับหญิงทั้งปวง
ชายที่จารีตห้ามมี    ประเภท คือ
๑.   ชายที่อยู่ในพิทักษ์ของตระกูล  เช่น  พ่อ แม่ ลุง ป้า น้า อา ปู่  ย่า  ตา  ทวด
๒.  ชายที่อยู่ในพิทักษ์รักษาของธรรมเนียม เช่น  นักพรต  นักบวช
๓.   ชายที่กฎหมายบ้านเมืองห้าม เช่น  พระภิกษุ  สามเณร
หญิงที่ไม่เป็นวัตถุกาเมฯ ของชายมี    ประเภท คือ
๑.   หญิงไม่มีสามี
๒.  หญิงที่ไม่อยู่ในพิทักษ์รักษาของท่าน
๓.  หญิงที่จารีตไม่ห้าม
๔.  หญิงที่เป็นภรรยาของตน
ชายที่ไม่เป็นวัตถุแห่งกาเมฯ  ของหญิงมี ๔ ประเภท คือ
๑.   ชายที่ไม่มีภรรยา
๒.  ชายที่จารีตไม่ห้าม
๓.   สามีของตน
๔.   ชายที่ทำโดยพลการพ้นอำนาจของหญิง (ชายที่มาข่มขืน )
หลักวินิจฉัยกาเมสุมิจฉาจารมีองค์    คือ
๑. อคมนียวัตถุ  วัตถุอันไม่ควรถึง  (มรรคทั้ง ๓ )
     ๒. ตัสมิง  เสวนจิตตัง  จิตคิดจะเสพในวัตถุอันไม่ควรถึงนั้น
     ๓. เสวนัปปโยค  ทำความพยายามในอันที่จะเสพ
     ๔. มัคเคนมัคคัปปฏิบัตติ  มรรคต่อมรรคถึงกัน
ในเรื่องกาเมสุมิจฉาจารนี้  ผู้ที่เสพเองเท่านั้นจึงจะชื่อว่า ล่วงกาเมสุมิจฉาจาร  ส่วนใช้คนอื่นให้ทำแก่คนอื่นนั้นไม่เป็นการผิดกาเมฯ  แต่การใช้ให้คนอื่นทำกาเมฯแก่ตนนั้น ชื่อว่าเป็นการล่วงกาเมฯ โดยแท้
ความโดยพิสดารนี้เป็นของเก่ามีมานาน  การตีความหรือวินิจฉัยอาจจะแตกต่างกันไป  แต่ข้าพเจ้าพยายามให้เข้าใจมากที่สุดเพื่อนำไปปฏิบัติได้ถูกต้อง
หญิงที่รับสิ่งของมีทรัพย์เป็นต้น  หญิงที่อยู่เป็นภรรยาด้วยโภคทรัพย์  หญิงที่เข็ญใจได้สักแต่ว่าผ้านุ่งห่มแล้วอยู่เป็นภรรยา  หมายถึงหญิงที่อยู่ตัวคนเดียวไม่มีญาติพี่น้องใดๆ  หรือญาติพี่น้องขับไล่ตัดญาติขาดมิตร  ซึ่งคนอินเดียในสมัยพุทธกาลยากจนแร้นแค้นมีมาก  ต้องเจอชะตากรรมลำบากหลายอย่าง  เป็นคนใช้  เป็นขอทานหรือขายตัวเป็นทาสก็มี  ดังนั้นเมื่อมีชายใดมาชอบพอหญิงผู้นั้นแล้วปลงภาระยอมชดใช้หนี้สิน  หรือการให้ข้าวของเครื่องใช้  เพื่อต้องการนางมาเป็นภรรยาของตนก็อยู่ในหลักนี้
หญิงที่เป็นทาสีอยู่ก่อนแล้วชายเอามาเป็นภรรยา  หมายถึงทาสหรือคนใช้ที่ยอมขายตัวเองเป็นคนรับใช้แล้วเจ้านายเกิดความชื่นชอบยกย่องให้เป็นภรรยา
หญิงที่ชายรบข้าศึกได้เป็นเชลยแล้วเอาเป็นภรรยา  ข้อนี้อาจเกิดขึ้นอีกในอนาคต  แต่ถ้าชายนั้นเอาเชลยหญิงไปข่มเหงล่วงเกินแล้วทอดทิ้ง  อันนี้ผิดศีลข้อกาเมฯ
หญิงที่ชายอยู่ด้วยขณะหนึ่งและหญิงนั้นก็เข้าใจว่าชายนั้นเป็นสามีของตน  หมายถึงชายหญิงอยู่ด้วยกันโดยการเกื้อกูลซึ่งกันและกัน ทำให้หญิงนั้นเข้าใจว่าชายนั้นน่าจะเป็นสามีของตน คือต้องเป็นผู้หญิงกำพร้าไม่มีญาติ
หญิงที่รับจ้างแล้วชายเอาเป็นภรรยา  ก็คือหญิงงามเมืองหรือหญิงโสเภณีที่ผู้ชายถูกใจแล้วเอามาเป็นภรรยา  ซึ่งอาจจะมีการจ่ายทรัพย์ไถ่ตัวมาแล้วแต่กรณี
หญิงมีสินไหม  คือพระราชาทรงรักษา ก็อย่างพวกนางสนมนางกำนัลทั้งหลาย
ข้ออื่นๆก็ไม่มีอะไรเกินความเข้าใจ  หลักสำคัญอยู่ที่ว่า  หญิงนั้นมีบิดามารดา ญาติพี่น้องรักษาอยู่หรือไม่  ให้ถือมารดาบิดาเป็นใหญ่  จะเป็นความเห็นชอบของคนใดคนหนึ่งไม่ได้ต้องเห็นพ้องต้องกันทั้งบิดาและมารดา  ถ้ามารดาบิดาไม่มีก็ต้องเห็นตามพี่ชายน้องชาย  ถ้าพี่ชายน้องชายไม่มี  ก็ต้องเห็นตามพี่สาวน้องสาว  พี่สาวน้องสาวไม่มีก็ต้องเห็นตามญาติผู้ใหญ่นับย้อนขึ้นไป ๓ ชั้น
ความที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้ซึ้งถึงศีลข้อนี้  ขาดความรู้ความเข้าใจ แม้แต่ผู้ที่ถ่ายทอดไม่สามารถอธิบายความได้ถูกต้อง ทำให้มีคนทำผิดศีลข้อนี้มากขึ้น  โดยเฉพาะความสำคัญผิด  ในทางพุทธศาสนา  หญิงใดอยู่ในความปกครองดูแลของบิดามารดา  ญาติพี่น้อง ( ให้ถือตามลำดับ ) ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ จะแต่งงานก็ต้องได้รับความเห็นชอบจากบุคคลเหล่านั้นเสียก่อน
ถ้าไปใช้ชีวิตอยู่นอกบ้านตัวคนเดียว  จะแต่งงานก็ต้องให้ญาติยินยอมเสียก่อน แต่ถ้ามารดาบิดา  พี่น้องชายหญิง  ปู่ ย่า ตา ทวด ไม่มี  มีแต่ลุงป้าน้าอาที่ดูแลกันอยู่ก็เท่ากับมีญาติรักษา  แต่ถ้าคนเหล่านั้นไม่เคยดูแลไม่จัดอยู่ในญาติรักษา  จะแต่งงานกับใครไม่ต้องขอความเห็นชอบ  แต่ให้บอกกล่าวให้รับรู้เท่านั้น
เรื่องของพี่น้องโดยเฉพาะ ถ้าไม่มีบิดามารดาและพี่แล้ว ทำไมต้องให้น้องเห็นชอบด้วยเพราะว่าชายผู้นั้นไม่ให้การอุปการะ  ไม่ให้การศึกษา  ไม่ให้สิ่งของที่สมควรให้  อันให้เกิดความเสื่อมเสียต่อน้องหรือญาติผู้ใหญ่  ทำให้เสื่อมเสียวงศ์ตระกูล  ถูกผู้อื่นดูถูกเพราะสามีไม่ดีไม่มีความรับผิดชอบ
การที่ยังไม่ได้แต่งงานโดยความเห็นชอบของผู้ใหญ่แล้วมีการล่วงละเมิดทางเพศกัน เท่ากับทำผิดศีลกาเมฯทั้งนั้น  คนส่วนใหญ่จะเข้าใจว่าถ้าอายุครบ  ๑๘  ปีบริบูรณ์แล้วมีเพศสัมพันธ์โดยความยินยอมของทั้งสองฝ่าย  ตามกฎหมายไม่ผิดก็จริงอยู่  แต่หญิงส่วนใหญ่อยู่ในความปกครองของมารดาบิดาและญาติ  ก็ไม่พ้นที่จะทำผิดศีลกาเมฯ
พ่อแม่เลี้ยงลูกมาด้วยความลำบาก  พ่อแม่มีพระคุณอันยิ่งใหญ่  ตามคำพรรณนาหาที่เปรียบไม่ได้  จู่ๆลูกสาวก็ไปยอมเป็นของชายอื่น  ทั้งคู่ทำผิดข้อกาเมฯ  โดยจะบอกว่าลูกโตแล้วหาเงินได้เองแล้ว  ก็ไม่ได้เป็นข้ออ้างที่จะทำให้ไม่ผิดศีล
ถ้าลูกเปรียบแก้วตาดวงใจของพ่อแม่  เมื่อมีใครมาทำให้แก้วตาดวงใจต้องมลทิน  พ่อแม่พี่น้องย่อมเศร้าโศกเสียใจเป็นยิ่งนัก  ของรักของหวงถูกขโมยหรือถูกทำลายชำรุดหักพัง  ก็ย่อมเสียใจอยู่แล้ว  แต่นี่เป็นลูกใครบ้างจะไม่เสียใจ  อย่างนี้แล้วจะไม่เป็นการทำผิดศีลได้อย่างไรกัน
เพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของคนส่วนใหญ่  จึงสอนกันมาผิดๆ มีลูกสาวก็สอนให้รักนวลสงวนตัว  แต่อธิบายไม่ถูกอธิบายไม่เป็น  มีลูกชายจะออกจากบ้านบอกให้ระวังโรคเอดส์  ให้พกถุงยางอนามัย  แต่ไม่รู้จักสอนเรื่องของศีลธรรม  บางครั้งยังชมเชยลูกเสียอีก  ทำอะไรให้รู้จักป้องกันและอย่าทำให้ผู้หญิงจับได้  นั่นแหละสอนลูกให้ตกนรกโดยไม่รู้ตัว
การสอนที่จะให้ได้ผลจริงจัง ก็ต้องสอนให้รู้จักละอายและเกรงกลัวต่อบาปก่อน  เช่นเมื่อทำบาปอะไรแล้วจะได้รับผลกรรมอย่างไรบ้าง  มีอะไรที่เป็นบาปบ้าง  ศีล ๕ รักษาได้ยากแต่ก็ต้องพยายาม  เมื่อจิตเข้าถึงธรรมจริงๆแล้ว  ศีลก็จะค่อยๆบริสุทธิ์ขึ้นเอง  ศีลข้อกาเมฯทำผิดกันมากก็เพราะไม่รู้ว่าเป็นความผิด
ฉะนั้นพ่อแม่ผู้ปกครองก็ควรจะสอนในสิ่งที่ถูกต้องให้  แม้ลูกเองก็ต้องเข้าใจศีลข้อกาเมฯนี้ดีแล้ว ก็สามารถที่จะเตือนพ่อแม่ที่กำลังหลงทำผิดหรือทำผิดอยู่ก็ให้ละเสียบาปกรรมจะได้ลดน้อยลง ไม่ใช่เฉพาะศีลข้อนี้แม้ข้ออื่นก็เช่นกัน
พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตะวันเมืองสาวัตถี  ได้ตรัสถึงการตอบแทนพระคุณของพ่อแม่ที่ได้ผลอย่างแท้จริง  และถูกต้องตามหลักพระพุทธศาสนาไว้ดังนี้
ภิกษุทั้งหลาย  บุตรยกมารดาบิดาขึ้นวางไว้บนบ่าทั้งสองข้างปฏิบัติท่านทั้งสองด้วยการอบกลิ่น  นวด อาบน้ำ  ท่านทั้งสองได้ถ่ายอุจจาระและปัสสาวะอยู่บนบ่าบุตรนั้นตลอดร้อยปี  แม้อย่างนั้นก็ยังไม่ชื่อว่าตอบแทนคุณของมารดาบิดา  ได้เลย
ภิกษุทั้งหลาย  อีกประการหนึ่งบุตรพึงสถาปนามารดาบิดาไว้ในราชสมบัติในแผ่นดินใหญ่มีแก้ว ๗ ประการ แม้อย่างนั้น  ก็ยังไม่ได้ชื่อว่าบุตรได้ตอบแทนคุณของมารดาบิดาได้เลย  เพราะว่า มารดาบิดามีอุปการะมาก  บำรุงเลี้ยง  แสดงโลกนี้แก่บุตรทั้งหลาย
ส่วนบุตรคนใด ทำมารดาบิดาผู้ไม่มีศรัทธาให้มีศรัทธามั่นคง  ทำมารดาบิดาผู้ทุศีลให้ตั้งมั่นอยู่ในศีล  ทำมารดาบิดาผู้มีความตระหนี่ให้มีการบริจาคทานเป็นนิจ  ทำมารดาบิดาผู้ไม่มีปัญญาให้มีปัญญาเป็นเครื่องนำทางที่ถูกต้องได้
ภิกษุทั้งหลาย  ด้วยเหตุการณ์ตอบแทน    ประการนี้  ชื่อว่าบุตรได้ตอบแทนพระคุณของมารดาบิดาแล้ว  ( ปฐมปัณณาสก์  ๒๐/๗๐ )
จูบนรก คือจูบแล้วมีสิทธิ์ตกนรก
กลับมาดูหลักวินิจฉัยกาเมฯกันก่อน  คำว่ามรรคต่อมรรคถึงกัน  มรรคทั้ง ๓ ก็มีทางปาก  ทางทวารเบา ( ช่องคลอด )  ทางทวารหนัก  โดยเฉพาะทางปากที่คนส่วนใหญ่จะไม่เข้าใจจึงเลียนแบบต่างชาติแล้วคิดว่าไม่มีอะไรผิด  ถ้าเป็นการประกบปากกันธรรมดาก็ไม่มีอะไร แต่ถ้ามีการล่วงล้ำเข้าไปในปากโดยอาศัยลิ้น ก็จะเป็นการใช้มรรคถึงกัน
เราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าหลังจากนั้นจะมีอะไรเกิดขึ้นตามมา  เพราะถ้าใครคนใดคนหนึ่งเกิดติดเชื้อโรคร้ายแรง  แล้วเชื้อโรคนั้นสามารถถ่ายทอดกันได้ทางน้ำลาย  อย่างไวรัสตับอักเสบที่ติดต่อกันได้ทางน้ำลาย  และโดยเฉพาะผู้มีแผลที่ปากทำให้ติดเชื้อได้ง่าย  ก็จะเป็นการทำร้ายผู้อื่นและครอบครัวของเขา  เราต้องคิดถึงผลกระทบที่ตามมาแล้วจะทำให้เราไม่กล้าทำผิด  แต่ถ้าคิดถึงความสนุกหรือความสุขเล็กๆน้อยๆแล้วกระทำความผิดไปโดยคิดว่าไม่เป็นไรคนอื่นเขาก็ทำกันไม่เห็นผิดตรงไหนบาปจะสักเท่าไหร่กัน  เพราะคนส่วนใหญ่คิดกันอย่างนี้จึงพากันตกนรกอย่างที่กล่าวไว้ว่า  คนไปสวรรค์เท่ากับเขาโค  คนไปนรกเท่ากับขนโค  ซึ่งต่างกันอย่างมาก
สำหรับผู้บริสุทธิ์ที่ไม่เคยถูกจูบมาก่อน ประสบการณ์แรกขณะที่ถูกจูบก็จะแตกต่างกันไป  บางคนถึงกับเหม่อลอยเพราะกำลังทบทวนรสชาติความรู้สึกจากการจูบครั้งแรก  บางคนกลับไปแล้วยังนอนครุ่นคิดจินตนาการต่อไปไม่รู้จักเบื่อ  บางคนถูกเรียกไม่ได้ยินคล้ายคนขาดสติ  บ้างก็ลุ่มหลงไม่เป็นอันจะทำอะไร  ให้เสียการเสียงาน  มีบ้างที่ขาดสติไม่สามารถยับยั้งชั่งใจได้  สุดท้ายต้องมีเพศสัมพันธ์กัน  บางคนก็สามารถคุมสติได้ไม่ยอมให้มีการล่วงเกินกันต่อไป
ผู้หญิงเมื่อถูกจูบแล้วเหมือนสูญเสียอะไรไปบางอย่าง  ตกอยู่ในอำนาจของกิเลสและตัณหา  เมื่อเป็นดังนั้นย่อมก่อให้เกิดความหวงแหน  การแย่งชิง  การทำร้าย  ที่สุดถึงกับฆ่ากัน  มันมีอานุภาพยิ่งใหญ่จริงๆ  เมื่อรสสัมผัสได้เกิดขึ้นแล้ว  จินตนาการต่างๆก็ไหลพรั่งพรูเข้ามาในสมอง  เกิดความคิดที่จะได้ครอบครองแต่เพียงผู้เดียว  จะมีการป้องกันไม่ให้ผู้อื่นมายุ่งเกี่ยว  จะทะเลาะกันเพราะความหึงหวง  จะใช้ความรักบีบบังคับให้ตามใจตัวเอง  จะโกรธแค้นเมื่อมีผู้อื่นมาตักเตือนว่ากล่าว  จะหงุดหงิดเมื่อไม่ได้ดังใจ  จะโกหกเพราะกลัวจะสูญเสีย  จะก้าวร้าวเพราะพ่อแม่ไม่เห็นด้วย  จะหดหู่เศร้าใจเมื่อไม่ได้เห็นหน้า  จะชิงชังเพราะถูกทรยศ  จะเสียจริตเพราะลุ่มหลง ฯลฯ
ประวัติสงครามการสู้รบทั้งหลาย  ส่วนหนึ่งเกิดจากการแก่งแย่งผู้หญิง  ชิงรักหักสวาท  ฆ่าล้างทำลายก่อเกิดสงคราม  ความรักที่เกิดจากหลงผิดมักให้เกิดความทุกข์ตามมา
คราวนี้ลองมาเปรียบเรื่องของขโมยคนหนึ่งเข้าไปในบริเวณบ้าน  แต่ได้ยินหมาเห่า  คนในบ้านออกมาดูพร้อมกับอาวุธ  ขโมยผู้นั้นเห็นเข้าตกใจกลัวจึงรีบหลบหนีไป  การกระทำของขโมยคนนี้มีความผิดแล้วถึงแม้จะยังไม่ได้ขโมยของหรือทำร้ายผู้ใด  แต่ก็ได้มีการบุกรุกเข้าไปเจตนาที่จะลักทรัพย์ก็ถือว่ามีความผิด  ก็เช่นเดียวกับการจูบที่ใช้ลิ้นสัมผัสกัน  กรรมอาจจะไม่หนักนักแต่ก็ได้เริ่มต้นสร้างกรรมไว้ รอแต่เหตุและปัจจัยอื่นมากระตุ้นให้ทำกรรมหนักเพิ่มไปอีก  ยิ่งทำบ่อยครั้งกรรมก็สะสมไปเรื่อย
หรือเปรียบเทียบกับศีลข้อที่หนึ่ง  การยิงนกตกปลา  ฆ่าเป็ดฆ่าไก่ นำมาเป็นอาหาร  หรือการกีฬา ไม่มีความผิดทางโลก  แต่ในทางธรรมผิดศีลมีความจงใจฆ่าสัตว์ตัดชีวิต  เช่นเดียวกับการจูบที่ใช้ลิ้นสัมผัสกัน  ตามเหตุผลที่ยกมาข้างต้น
คนเรามักคิดเข้าข้างตัวเองเสมอ  ข้อนี้แล้วแต่ความคิดของแต่ละบุคคล  ข้าพเจ้าเพียงชี้ให้เห็นโทษเท่านั้น  ถึงแม้จะเล็กน้อยตามความคิดของท่าน  แต่สำหรับผู้ปฏิบัติธรรมแล้วไม่ควรมองข้ามแม้ความผิดเล็กน้อย  ยาพิษเพียงหยดเดียวก็สามารถฆ่าคนให้ตายได้  ไม่ควรประมาท
ตัณหามีสิ่งที่เป็นที่รักที่ชอบใจเป็นเหตุ  เพราะอาศัยการรักใคร่และพึงใจจึงเกิดการพะวง  เพราะอาศัยการพะวงจึงเกิดการยึดถือ  เพราะอาศัยการยึดถือจึงความตระหนี่  เพราะอาศัยความตระหนี่จึงเกิดการป้องกัน  เพราะอาศัยการป้องกันจึงเกิดเรื่องในการป้องกันขึ้นคือ  การทะเลาะ  การแก่งแย่ง  การวิวาท  การพูดจาส่อเสียด  การพูดเท็จย่อมเกิดขึ้น  ถ้าการป้องกันมิได้เกิดแก่ใครในภพไหนๆ  อกุศลกรรมทั้งหลายมีการทะเลาะตบตี  เป็นต้น  ก็จะไม่บังเกิด  การที่เห็นรูป คือความสวยงาม  ความยั่วยวนเป็นปัจจัยให้อยากสัมผัส  เมื่อสัมผัสแล้วก็จินตนาการ  ที่อยากจะร่วมรักร่วมใคร่  เพราะเหตุนั้นเป็นปัจจัยแห่งการสัมผัสก็คือ รูป
สัตว์ทั้งหลายที่กำหนัดยินดีในรูป  เมื่อกำหนัดแล้วเกิดความเร่าร้อน  ย่อมหาวิธีต่างๆเพื่อให้ได้มา  เพื่อดับความเร่าร้อนคือตัณหานั้นเสีย  อย่างกรณีผู้รุมโทรมหญิง พวกขาดการอบรมศีลธรรมที่ดี  โดยเฉพาะพ่อแม่หรือผู้ปกครองที่ขาดการเอาใจใส่  ครอบครัวขาดความอบอุ่น  ปัญหาของสังคมจึงยังคงมีอยู่ตลอด
เวลาพ่อแม่สอนลูกต้องให้เข้าใจเรื่องบุญและบาป  เมื่อทำไปแล้วจะส่งผลอย่างไรต่อชีวิตของเราก่อน  คนเราถ้าไม่กลัวบาปแล้วก็สามารถทำอะไรผิดๆได้ทุกอย่าง  น่าสงสารพ่อแม่ทั้งหลายที่ส่วนใหญ่มักจะสอนให้ลูกๆเป็นคนเก่ง  คนมีชื่อเสียง ทำอย่างไรจึงจะหาเงินมาได้มากๆ  แต่ขาดการอบรมศีลธรรมที่ดีให้  พ่อแม่สอนให้ลูกรู้จักละอายและเกรงกลัวต่อบาป  เมื่อทำบาปแล้วจะต้องตกนรก  นรกเป็นอย่างไรก็หาภาพนรกมาให้ดูหรือพาลูกไปที่วัดที่มีรูปนรกและสวรรค์  การตกนรกเป็นอย่างไรเจ็บปวดทรมานแสนสาหัสแค่ไหนไม่มีอะไรมาเปรียบเทียบได้  ถ้าลูกยังเล็กอยู่ก็ลองตีที่มือลูกพอให้รู้ว่าเจ็บ ให้อยู่ในที่เฉพาะไม่สามารถไปไหนได้เหมือนทำผิดแล้วถูกลงโทษ ถูกกักขัง  และถามลูกว่าเวลาหมอฉีดยาให้เจ็บแค่ไหน  ในนรกเจ็บปวดทรมานยิ่งกว่าและต้องรับกรรมอยู่อย่างนั้นหลายร้อยล้านปี  พยายามสอนเน้นย้ำเพื่อให้ลูกจำเข้าไปในจิตและรู้สึกกลัวต่อบาปกรรมที่ทำไป  แต่ถ้าทำดีในส่วนของบุญกริยาวัตถุ ๑๐ อันมี ทาน ศีล ภาวนา เป็นต้น จะส่งผลให้ไปเกิดบนสวรรค์  บนสวรรค์มีอะไรบ้างพรรณนาให้ลูกเห็นและอยากจะไปอยู่  จะได้ทำให้ลูกหมั่นทำทาน  รักษาศีล ภาวนา  ที่สำคัญพ่อแม่ต้องเป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูกเห็น เมื่อมีโอกาสก็พาลูกไปวัดทำบุญ  ฟังเทศน์  ปฏิบัติธรรมบ้าง
พ่อแม่นั่งดูทีวีกีบลูก เมื่อเห็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องก็รีบบอกลูกทันทีว่าสิ่งนั้นผิดนะ ผิดอย่างไรก็ค่อยอธิบายให้ลูกฟังจะอธิบายตอนละครจบแล้วก็ได้  เมื่อบ่อยเข้าก็ลองถามลูกบ้าง สิ่งที่เห็นนั้นผิดอย่างไร  ดูว่าลูกมีความเข้าใจหลักธรรมแค่ไหนแล้ว  ทำจนเกิดความรู้จริงและไม่กล้าที่จะทำผิด  อย่างกรณีละครไทยหลายเรื่องที่พระเอกปล้ำนางเอกจนได้เสียกัน  ตอนหลังจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่  แต่การกระทำในตอนแรกนั้นเป็นการทำผิดศีลกาเมฯแล้ว  เพราะนางเอกเขาก็มีพ่อแม่ญาติพี่น้องเหมือนกัน  การที่พระเอกได้ล่วงละเมิดทางเพศแล้วสุดท้ายจะมาขอขมาบ้าง แต่งงานบ้าง  ที่ทำไปก็เพราะความรักความหึงหวง กลัวคนอื่นจะมาแย่งไป  อะไรทำนองนั้น ตามการประพันธ์เรื่องของแต่ละคน  เมื่อทำผิดแล้วก็ผิดเลยจะมาแก้ตัวตอนหลังอย่างไรก็ไม่พ้นผิด  ต่างกรรมต่างวาระ ตอนแรกผิดตอนหลังไม่ผิด  แต่ความผิดตอนแรกก็ทำให้ตกนรกได้
ช่วงเทศกาลงานต่างๆ  จะมีคู่รักพากันเข้าโรงแรมกันมาก  โดยช่วงที่มีวันหยุดหลายวัน  ที่สำคัญคือมีวันทางพระพุทธศาสนาอยู่ ๓ วันเป็นวันพระใหญ่ และยังมีวันลอยกระทงพิเศษเพิ่มมาอีก ๑วัน  ซึ่งเป็นวันพระเช่นกัน  คู่รักหลายๆคู่จะมีการพากันไปทำบุญบ้าง  ไปเที่ยวต่างจังหวัดบ้าง  เพราะมีวันหยุดหลายวัน มีการนอนค้างอ้างแรมตามสถานที่ต่างๆ  และมีการสมสู่กันจะเป็นคู่รักกันก็ดี จะเป็นสามีภรรยากันก็ดี  ล้วนไม่รู้จักการละเว้น  ที่คนโบราณสอนเอาไว้วันโกนให้ละวันพระให้เว้น  พ่อแม่สมัยใหม่ไม่รู้จักสอนลูก  คนเราไม่ใช่สัตว์เดรัจฉานจึงต้องรู้จักละจักเว้น  สัตว์เดรัจฉานจะสมสู่กันวันไหนก็ได้ถ้ามีความต้องการขึ้นมาเพราะสัตว์เหล่านั้นไม่รู้จักวันโกนวันพระ  สุนัขเองก็สมสู่กันให้เห็นตามริมทางข้างถนนมีออกจะบ่อยไป  แม้สัตว์เดรัจฉานทั้งหลายก็สมสู่กันเองตามธรรมชาติไม่ต้องมีใครไปสอนให้มันทำ   ด้วยเหตุนี้ทำให้สังคมเสื่อมถอยลง  เพราะไม่รู้จักละจักเว้น  ชอบใจหรือพอใจกันก็ลักลอบสมสู่กัน  ไม่สนใจใยดีกับความรู้สึกของพ่อแม่ผู้ปกครอง
เรื่องเพศสัมพันธ์ไม่ใช่สิ่งเลวร้าย  ถ้าทำถูกต้องทำนองครองธรรม  เพราะเมื่อตัณหาเกิดขึ้นคำว่าแม่หรือลูกก็ไม่มีแล้ว  เมื่อก่อนมีข่าวพ่อข่มขืนลูก  เดี๋ยวนี้มีข่าวลูกข่มขืนแม่เกิดขึ้นจริงมีข่าวออกมาให้เห็นทางทีวีและหนังสือพิมพ์
พระพุทธเจ้าจึงทรงตำหนิเรื่องกาม   กามมีสัมผัสเป็นทุกข์  กามคุณคือเครื่องจองจำ  กามคุณ ๕  คือรูปที่พึงเห็นด้วยตา  น่าปรารถนา   น่าใคร่  น่ารัก  น่าพอใจ  เกี่ยวกับกาม  เป็นที่เกิดแห่งความกำหนัด  แม้เสียง  กลิ่น  รส  และสัมผัส ก็เช่นเดียวกัน  ผู้ใดกำหนัด  สยบ  หมกมุ่น  ไม่แลเห็นโทษ  ไม่มีปัญญาคิดสลัดออก  ย่อมไม่พ้นจากขื่อคาและเครื่องจองจำเหล่านี้ได้ ( เตวิชชสูตร ๙-๔๑๒ )
เหตุที่ทำให้คนเราต้องเวียนว่ายตายเกิดหาที่สุดภพชาติไม่ได้  ก็เนื่องจากกามเป็นเหตุ  พระอริยะบุคคลอย่างพระโสดาบันและพระสกิทาคามี  ก็ยังตัดกามไม่ได้ต้องมาเกิดอีกอย่างมาก ๗ ชาติ  อย่างน้อยหนึ่งชาติ  ส่วนพระอนาคามีตัดกามได้เด็ดขาดไม่ต้องกลับมาเกิดอีก  แต่จะไปสำเร็จอรหันต์บนพรหมโลก  และพระอรหันต์ตัดภพชาติได้หมดสิ้น  ได้ละสังโยชน์ทั้ง ๑๐ ได้  ไม่กลับมาเกิดอีก
การรักษาศีลให้บริสุทธิ์แม้เพียงข้อเดียวก็ส่งผลให้มหาศาล  แต่ถ้ารักษาให้ได้ ๕ ข้อยิ่งดีไปใหญ่  ดังเรื่องของชายหนุ่มผู้หนึ่งมีอาชีพรับจ้างเป็นคนสวนในบ้านของเศรษฐีคนหนึ่ง  เศรษฐีคนนี้ต้องเดินทางไปต่างแดนบ่อยๆ เพื่อติดต่อการค้า  อยู่มาวันหนึ่ง  ท่านเศรษฐีจำเป็นต้องไปต่างแดนหลายวัน  จะพาเมียสาวไปด้วยก็ไม่สะดวก  จะให้อยู่บ้านคนเดียวก็กลัวจะมีภัยจากโจรร้าย  จึงให้คนสวนมานอนค้างที่บ้านให้เป็นเพื่อนของภรรยา
ภรรยาสาวของเศรษฐีเห็นหน้าหนุ่มคนสวนก็มีใจรักใคร่  ตัวเองก็ยังสาวและสวยอยู่  ชายหนุ่มก็แข็งแรง  ผิดกับท่านเศรษฐีที่มีอายุมากแล้ว  ดังนั้นภรรยาเศรษฐีจึงพยายามยั่วยวนให้ชายหนุ่มหลงใหล  แต่ชายหนุ่มไม่เล่นด้วย ที่สุดก็วางแผนให้ชายหนุ่มมากินข้าวในบ้าน  โดยอ้างเหตุผลสารพัดและมีการดื่มเหล้าด้วย  เพื่อต้องการให้ชายหนุ่มเมาขาดสติ  ก็ได้ช่องสบโอกาสยั่วยวนให้ชายหนุ่มหลงไหล  เพื่อตอบสนองความต้องการทางเพศของตน
ฝ่ายเศรษฐีมีความคิดถึงเมียสาวว่าจะอยู่อย่างไร  จึงกลับมาที่บ้านอย่างเงียบๆ  เพื่อไม่ต้องการให้ใครรู้  เศรษฐีได้แอบดูพฤติการณ์ของเมียสาวโดยตลอด
ข้างเมียสาวจะยั่วยวนอย่างไรก็ไม่เป็นผล  ที่จะทำให้ชายหนุ่มตกบ่วงเสน่หาของตนได้  แม้ชายหนุ่มจะดื่มเหล้าไป  แต่ยังมีสติพอที่จะไม่ล่วงเกินภรรยาสาวของเศรษฐี  พยามยามอดทนอดกลั้นจนรอดจากการทำผิดศีลกาเมฯได้
เศรษฐีแอบดูอยู่จนมั่นใจว่า  ชายหนุ่มผู้นี้อย่างไรเสียก็ไม่ยอมเป็นชู้กับภรรยาของตนได้  จึงกลับไปติดต่อการค้าให้สำเร็จเรียบร้อย  เมื่อเสร็จภารกิจแล้วจึงกลับมาบ้านด้วยความสุข  ชาวบ้านต่างซุบซิบนินทาว่าท่านเศรษฐีถูกสวมเขา  ภรรยามีชู้กับชายหนุ่มคนสวน  เศรษฐีจึงเรียกให้ทุกคนมาพร้อมหน้ากัน  และเริ่มไต่สวนความจริงทั้งหมด  ภรรยายอมรับว่าทำจริงแต่ไม่สมหวังเพราะชายหนุ่มใจแข็งมาก  ส่วนชายหนุ่มก็รับว่าจริงตามคำของภรรยาเศรษฐี
                   เศรษฐีถามชายหนุ่มว่า  ทำไมจึงไม่คิดที่จะลวนลามภรรยาของข้าบ้าง  นางมีอะไรไม่ดีตรงไหนเหรอ  หรือว่าเจ้าไม่มีน้ำยา  ชายหนุ่มตอบไปว่า  ข้าพเจ้าเป็นคนสวนบางครั้งต้องฆ่าสัตว์ตัดชีวิตบ้าง  บางครั้งก็ดื่มเหล้า  ทำให้ศีลของข้าพเจ้าไม่บริสุทธิ์  เรื่องลักเล็กขโมยน้อยข้าพเจ้าไม่เคยทำ  เรื่องโกหกข้าพเจ้าไม่เคยพูด  คำหยาบก็พูดอยู่บ้างเพราะพูดไม่ค่อยเป็น  เพราะข้าพเจ้าเป็นคนบ้านนอกไม่ค่อยได้เรียนหนังสือ  แต่ข้าพเจ้าก็ไม่เคยทำผิดลูกเมียใคร  แม้จะดื่มเหล้าแต่ไม่เคยเมาควบคุมสติไม่ได้  ข้าพเจ้ายึดศีลข้อกาเมฯนี้ตลอดชีวิต
                   เศรษฐีกล่าวว่าข้าเชื่อถือเจ้า   เพราะข้าเคยกลับบ้านมาและแอบดูการกระทำของพวกเจ้าโดยตลอด  ประเสริฐนักที่จะมีชายหนุ่มถูกยั่วยวนถึงขนาดนี้แล้วยังทนอดกลั้นอยู่ได้  แล้วท่านเศรษฐีก็แบ่งทรัพย์สมบัติให้จำนวนหนึ่งแก่ชายหนุ่มคนนั้น
 นี่ผลของการรักษาศีลบริสุทธิ์แม้เพียงข้อเดียวก็ยังทำให้ชายหนุ่มมีอนาคตที่ดีขึ้น  ถ้ารักษาได้หลายข้อก็ยิ่งทวีคูณไปอีก  ผู้อ่านที่มีความเข้าใจในเรื่องศีลข้อกาเมฯละเอียดยิ่งขึ้นก็ช่วยนำไปเผยแพร่ความรู้นี้ออกไปให้มากๆ  สังคมจะได้ดีขึ้นมาบ้าง  ถ้าทุกคนช่วยกัน  โดยเฉพาะการเริ่มต้นจากครอบครัว  พ่อแม่สอนลูกให้รู้จักหลักธรรมที่ถูกต้องแท้จริง  จะได้ช่วยไม่ให้ลูกๆต้องตกนรกเพราะความเข้าใจผิดหลงผิดอย่างทุกวันนี้  กิเลสตัณหานำมาซึ่งความทุกข์มาให้